ตอนที่ 416 สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
by ปลามังกร
08:01,Mar 30,2021
ผมและจ้าวซูเหิงกินข้าวเย็นเสร็จก็ตรงไปที่สนามบินเพราะว่าค่อนข้างรีบร้อนถงอันจือก็เลยจองไฟลท์ที่เร็วที่สุดให้พวกเรา
และผมก็โทรหาตูหมิงเฉียงเพื่อยืนยันอีกทีแต่ตูหมิงเฉียงSanksuและสุชาบอกว่าที่จริงพวกเขาไม่ค่อยเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านนี้เท่าผมด้วยเหตุนี้ผมถามอยู่นานสุดท้ายก็ยังไม่รู้ซักทีว่าเป็นปัญหาอะไรรู้แค่เพียงมีคนเข้ามาก่อนความวุ่นวายในระบบการขาย
จนกระทั่งผมใกล้จะขึ้นเครื่องแล้วผมก็ยังไม่ค่อนจะเชื่อจากอิทธิพลของพวกเขาทั้งสามคนที่ประเทศไทยถ้ามีคนกล้าเข้ามาแตะต้องกล้าเข้ามาดึงเคราของพวกเขาคนคนนั้นคงไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว
จ้าวซูเหิงที่เดิมทีไม่ยินยอมจะกลับเยี่ยนจิงเพราะเขาได้รับอิทธิพลจากความคิดของครอบครัวตั้งแต่เด็กๆมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวค่อนข้างน้อยทำให้กลายเป็นลูกคนรวยที่แปลกๆทั้งๆที่เป็นคนเล่นๆไม่จริงจังแต่กลับมีความคิดความอ่านเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ตอนที่พวกเราได้รับข่าวจากถงอันจือจ้าวซูเหิงดีใจกระโดดอยู่ที่เดิมช่วงที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่Shenghaiทำให้เขารู้ว่าผมมีอิทธิพลที่ไทยไม่น้อยช่วยเพิ่มความปลอดภัยของการเดินทางได้
ส่วนฉีหยู่เหมิงเดิมทีพวกเราสามคนวางแผนจะกลับเยี่ยนจิงด้วยกันคิดไม่ถึงว่าจู่ๆจะมีเรื่องนี้แทรกขึ้นมาก็เลยต้องให้ฉีหยู่เหมองกลับไปคนเดียวก่อนจะไปตอนแรกผมคิดว่าเธอจะมีท่าทางปล่อยวางไม่ได้ให้เห็นคิดไม่ถึงว่าคุณตำรวจสาวผู้แข็งแกร่งกลับยืนด่าที่หน้าประตูโรงแรม"ฟางหยางคุณนี้มันใจร้ายจริงๆ!"
ทำซะคนที่เดินผ่านไปมาหันมามองผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ
ไม่นานเครื่องก็จะออกแล้วตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นเครื่องกันแล้วพวกเราเข้าแถวอยู่หลังสุดเตรียมจะเดินขึ้นเครื่องจู่ๆก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง"เดี๋ยวก่อน!"
พวกเราหันหน้ากลับไปดูสิ่งที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างก็คือไป๋เหว่ยที่สวมชุดทำง่นวิ่งมาจากประตูทางเข้าลากกระเป๋ามาด้วย
ผมถามเธอด้วยความตกใจว่าเธอมาทำอะไรที่สนามบินไป๋เหว่ยบอกว่ามาขึ้นเครื่องไปไทย
ประโยคข้างหลังไม่พูดก็ไม่เป็นไรที่จริงผมก็พอจะเข้าใจแล้ว
ไป๋เหว่ยบอกว่าการที่ซอฟต์แวร์Zhiwenปิดตัวลงไม่ได้มีผลกระทบแค่ธุรกิจในประเทศแต่ยังกระทบไปถึงโคงการCBDที่พวกเราทำกันอย่างยากลำบากที่ไทยด้วยเพราะสูญเสียซัพพลายเออร์ดังนั้นตระกูลไป๋ก็เลยต้องการจะเรียกชื่อเสียงและความเสียหายคืนมาก็เลยจำเป็นต้องส่งคนไปเจรจาซึ่งคนที่รับผิดชอบโครงการนี้ได้ดีที่สุดก็มีผมคงจังหนิงและไป๋เหว่ย
แต่ตอนนี้ผมลาออกแล้วจงคังหนิงก็โดนไล่ออกเพราะใส่ร้ายผมส่วนไป๋เหว่ยก็อยู่บ้านว่างๆพอดีได้ยินข่าวว่าผมจะไปประเทศไทยก็เลยไปด้วย
เธอรีบตลอดระยะทางสุดท้ายก็ได้มาเจอพวกเราก่อนจะขึ้นเครื่อง
รอจนไป๋เหว่ยอธิบายเรื่องทั้งหมดเสร็จพนักงานสนามบินก็มาเร่งให้พวกเราขึ้นเครื่องผมและจ้าวซูเหิงไม่ได้คิดอะไรมากจ้าวซูเหิงก็เลยช่วยถือกระเป๋าให้เธอและผมก็พยุงไป๋เหว่ยขึ้นเครื่อง
เพราะเครื่องบินลำนี้บินไฟลท์ดึกทำให้ผู้โดยสารไม่เยอะเครื่องบินลำตั้งใหญ่มีผู้โดยสารนั่งแค่ครึ่งเดียวและมีคนจีนไม่กี่คนส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวเหลืองจมูกโด่งริมฝีปากหนาซึ่งเป็นคนไทย
พวกเราจองที่นั่งชั้นบิสสิเนสเนื่องจากที่นั่งข้างๆผมว่างพอดีไป๋เหว่ยก็เลยมานั่งตรงนี้แทนส่วนจ้าวซูเหิงก็ไปนั่งที่ข้างๆ
ไป๋เหว่ยพูดแกมบ่นว่า"ฟางหยางนายจะไปไทยมีเรื่องใหญ่ขนาดนี้นายก็ไม่ยอมบอกฉันนะยังดีที่ครั้งนี้ฉันบอกที่บ้านว่าจะไปไทยไปจัดการเรื่องโครงการCBDไม่งั้นก็คงมาไม่ทันนาย"
ผมพูดด้วยความเซ็งว่า"ผมเองก็เพิ่งได้รับแจ้งเมื่อเช้าวันนี้นี่เองตอนเที่ยงเพิ่งได้เก็บของและผมยังต้องไปที่สถานีตำรวจอีกยังมีหลัวอีเจิ้งอีกที่ผมยังไม่ทันบอกว่าผมจะไปจากShenghaiแล้วในเมื่อจะไปไทยก็ต้องบอกเขาซักหน่อยและยังมีเจิ้งเฉียงที่ช่วยผมไว้เยอะมาก....วันนี้ตอนบ่ายยุ่งจนเอาไม่ทัน"
ไป๋เหว่ยยิ่งโกรธเข้าไปอีกขมวดคิ้วและพูดว่า"แม้แต่จะส่งข้อความบอกฉันหน่อยนายก็ไม่มีเวลาหรอ?"
ผมไม่พูดอะไรเพราะที่จริงผมคิดว่าไปไทยครั้งนี้คงไปไม่กี่วันแล้วจะรีบกลับมาอีกอย่างไปไทยในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องด่วนแต่คิดว่าไม่ค่อยยากอีกอย่างทั้งสามคนที่ทำความร่วมมือกับWangtiamGroupก็ไม่ใช่คนพื้นๆ
Sanksuที่มีหน้ามีตาสุชาที่มีอิธิพลใต้ดินและยังมีตระกูลตูที่มีชื่อเสียงในตะวันออกเฉียงใต้ดูยังไงเรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
อีกอย่างเมื่อจัดการเรื่องนี้แล้วเสร็จถงอันจือก็ต้องให้ผมหยุดพักผ่อนด้วยเหตุนี้ผมเลยไม่ได้บอกไป๋เหว่ย
แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอโกรธแล้วงั้นผมก็ไม่สามารถพูดแบบนี้ได้ผมก็เลยต้องยอมรับผิดอย่างเชื่อฟังและรีบฉวยโอกาสจับมือน้อยๆของเธอไป๋เหว่ยหน้าแดงและจ้อมผมด้วยสายตาแปลกๆ
ผมโล่งใจด่านนี้ถือว่าผ่านแล้วขอแค่ไป๋เหว่ยไม่สนใจเรื่องของเหวินซินเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ได้แล้ว
และโลกใบนี้ก็มักมีอะไรที่ไม่คาดคิดยิ่งคุณคิดถึงเรื่องอะไรเรื่องนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นสูงมากในขณะที่ผมนึกถึงเหวินซินอยู่นั้นจู่ๆก็มีข้อความถูกส่งเข้ามาที่โทรศัพท์ของผมซึ่งมันขึ้นว่าเป็นข้อความของเหวินซิน
ไป๋เหว่ยองก็สังเกตุเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ของผมสว่างขึ้นเธอถามผมด้วยน้ำเสียงของคววามสงสัยว่า"อ้อที่แท้ก็เป็นเหวินซินนี่เองเธอส่งข้อความมาหานายทำไม?"
ผมยิ้มด้วยความอายหลังจากนั้นก็กดเปิดข้อความในโทรศัพท์
"ฟางหยางวันนี้นายจะไปไทยหรอ?ทำไมไม่ชวนฉันด้วยฉันอยากไปเที่ยวไทยมานานแล้ว"
ผมกลืนน้ำลายดูเหมือนวันนี้จะไม่ค่อยราบรื่นไม่เพียงแค่ไป๋เหว่ยแม้แต่เหวินซินที่เป็นคนฉลาดและมีนิสัยดียังพูดบ่นผม"
ผมกระแอมและพูดว่า"ที่จริงพวกเราไม่มีอะไรกันผมและเหวินซินก็เป็นแค่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยกันเท่านั้นเองแต่บังเอิญในปีนี้พวกเราเจอกันที่Shenghaiหลายครั้งและเธอก็ช่วยผมหลายเรื่องก็เท่านั้นเอง"
ไป๋เหว่ยมองบนใส่ผมและพูดว่า"งั้นทำไมนายยังไม่ตอบข้อความเธอกลับไปอีก?"
"ผมกำลังคิดว่าจะตอบเธออย่างไรดีไม่ให้เธอเสียหน้าและก็ให้เธอเข้าใจในความหมายที่ผมจะสื่อ"
เมื่อผมพูดจบเครื่องบินที่บินอยู่นิ่งๆอย่างมั่นคงจู่ๆก็สั่นไม่ยุดราวกับว่าพวกเรากำลังนั่งรถที่กำลังลงเนินด้วยความเร็วสูง
ผมรีบจับมือของไป๋เหว่ยไป๋เหว่ยพูดว่า"เกิดอะไรขึ้น?"
"ผมก็ไม่รู้"
ส่วนสีหน้าของจ้าวซูเหิงก็เปลี่ยน"ซวยแล้วฟางหยางไป๋เหว่ยพวกเราอาจจะเจอกระแสการเปลี่ยนแปลงของอากาศ"
ขณะนั้นเองห้องผู้โดยสารข้างหลังก็เริ่มมีเสียงดังโวยวายและก็เริ่มมีเด็กร้องไห้
ต่อมาก็มีเสียงสาวสวยประกาศว่า"สวัสดีค่ะผู้โดยสารทุกท่านตอนนี้เครื่องบินกำลังเจอกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศทำให้การเดินทางอาาจะมีการสั่นสะเทือนกรุณาคาดเข็มขัดจับที่วางแขนให้แน่นอย่าตื่นตกใจ"
เธอบอกให้พวกเราทำจิตใจให้มั่นคงให้สงบลงแต่ผมกลับรู้สึกถึงความกลัวจากน้ำเสียงที่เธอพูด
และผมก็โทรหาตูหมิงเฉียงเพื่อยืนยันอีกทีแต่ตูหมิงเฉียงSanksuและสุชาบอกว่าที่จริงพวกเขาไม่ค่อยเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านนี้เท่าผมด้วยเหตุนี้ผมถามอยู่นานสุดท้ายก็ยังไม่รู้ซักทีว่าเป็นปัญหาอะไรรู้แค่เพียงมีคนเข้ามาก่อนความวุ่นวายในระบบการขาย
จนกระทั่งผมใกล้จะขึ้นเครื่องแล้วผมก็ยังไม่ค่อนจะเชื่อจากอิทธิพลของพวกเขาทั้งสามคนที่ประเทศไทยถ้ามีคนกล้าเข้ามาแตะต้องกล้าเข้ามาดึงเคราของพวกเขาคนคนนั้นคงไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว
จ้าวซูเหิงที่เดิมทีไม่ยินยอมจะกลับเยี่ยนจิงเพราะเขาได้รับอิทธิพลจากความคิดของครอบครัวตั้งแต่เด็กๆมีโอกาสได้ออกมาเที่ยวค่อนข้างน้อยทำให้กลายเป็นลูกคนรวยที่แปลกๆทั้งๆที่เป็นคนเล่นๆไม่จริงจังแต่กลับมีความคิดความอ่านเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ตอนที่พวกเราได้รับข่าวจากถงอันจือจ้าวซูเหิงดีใจกระโดดอยู่ที่เดิมช่วงที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่Shenghaiทำให้เขารู้ว่าผมมีอิทธิพลที่ไทยไม่น้อยช่วยเพิ่มความปลอดภัยของการเดินทางได้
ส่วนฉีหยู่เหมิงเดิมทีพวกเราสามคนวางแผนจะกลับเยี่ยนจิงด้วยกันคิดไม่ถึงว่าจู่ๆจะมีเรื่องนี้แทรกขึ้นมาก็เลยต้องให้ฉีหยู่เหมองกลับไปคนเดียวก่อนจะไปตอนแรกผมคิดว่าเธอจะมีท่าทางปล่อยวางไม่ได้ให้เห็นคิดไม่ถึงว่าคุณตำรวจสาวผู้แข็งแกร่งกลับยืนด่าที่หน้าประตูโรงแรม"ฟางหยางคุณนี้มันใจร้ายจริงๆ!"
ทำซะคนที่เดินผ่านไปมาหันมามองผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ
ไม่นานเครื่องก็จะออกแล้วตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นเครื่องกันแล้วพวกเราเข้าแถวอยู่หลังสุดเตรียมจะเดินขึ้นเครื่องจู่ๆก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง"เดี๋ยวก่อน!"
พวกเราหันหน้ากลับไปดูสิ่งที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างก็คือไป๋เหว่ยที่สวมชุดทำง่นวิ่งมาจากประตูทางเข้าลากกระเป๋ามาด้วย
ผมถามเธอด้วยความตกใจว่าเธอมาทำอะไรที่สนามบินไป๋เหว่ยบอกว่ามาขึ้นเครื่องไปไทย
ประโยคข้างหลังไม่พูดก็ไม่เป็นไรที่จริงผมก็พอจะเข้าใจแล้ว
ไป๋เหว่ยบอกว่าการที่ซอฟต์แวร์Zhiwenปิดตัวลงไม่ได้มีผลกระทบแค่ธุรกิจในประเทศแต่ยังกระทบไปถึงโคงการCBDที่พวกเราทำกันอย่างยากลำบากที่ไทยด้วยเพราะสูญเสียซัพพลายเออร์ดังนั้นตระกูลไป๋ก็เลยต้องการจะเรียกชื่อเสียงและความเสียหายคืนมาก็เลยจำเป็นต้องส่งคนไปเจรจาซึ่งคนที่รับผิดชอบโครงการนี้ได้ดีที่สุดก็มีผมคงจังหนิงและไป๋เหว่ย
แต่ตอนนี้ผมลาออกแล้วจงคังหนิงก็โดนไล่ออกเพราะใส่ร้ายผมส่วนไป๋เหว่ยก็อยู่บ้านว่างๆพอดีได้ยินข่าวว่าผมจะไปประเทศไทยก็เลยไปด้วย
เธอรีบตลอดระยะทางสุดท้ายก็ได้มาเจอพวกเราก่อนจะขึ้นเครื่อง
รอจนไป๋เหว่ยอธิบายเรื่องทั้งหมดเสร็จพนักงานสนามบินก็มาเร่งให้พวกเราขึ้นเครื่องผมและจ้าวซูเหิงไม่ได้คิดอะไรมากจ้าวซูเหิงก็เลยช่วยถือกระเป๋าให้เธอและผมก็พยุงไป๋เหว่ยขึ้นเครื่อง
เพราะเครื่องบินลำนี้บินไฟลท์ดึกทำให้ผู้โดยสารไม่เยอะเครื่องบินลำตั้งใหญ่มีผู้โดยสารนั่งแค่ครึ่งเดียวและมีคนจีนไม่กี่คนส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวเหลืองจมูกโด่งริมฝีปากหนาซึ่งเป็นคนไทย
พวกเราจองที่นั่งชั้นบิสสิเนสเนื่องจากที่นั่งข้างๆผมว่างพอดีไป๋เหว่ยก็เลยมานั่งตรงนี้แทนส่วนจ้าวซูเหิงก็ไปนั่งที่ข้างๆ
ไป๋เหว่ยพูดแกมบ่นว่า"ฟางหยางนายจะไปไทยมีเรื่องใหญ่ขนาดนี้นายก็ไม่ยอมบอกฉันนะยังดีที่ครั้งนี้ฉันบอกที่บ้านว่าจะไปไทยไปจัดการเรื่องโครงการCBDไม่งั้นก็คงมาไม่ทันนาย"
ผมพูดด้วยความเซ็งว่า"ผมเองก็เพิ่งได้รับแจ้งเมื่อเช้าวันนี้นี่เองตอนเที่ยงเพิ่งได้เก็บของและผมยังต้องไปที่สถานีตำรวจอีกยังมีหลัวอีเจิ้งอีกที่ผมยังไม่ทันบอกว่าผมจะไปจากShenghaiแล้วในเมื่อจะไปไทยก็ต้องบอกเขาซักหน่อยและยังมีเจิ้งเฉียงที่ช่วยผมไว้เยอะมาก....วันนี้ตอนบ่ายยุ่งจนเอาไม่ทัน"
ไป๋เหว่ยยิ่งโกรธเข้าไปอีกขมวดคิ้วและพูดว่า"แม้แต่จะส่งข้อความบอกฉันหน่อยนายก็ไม่มีเวลาหรอ?"
ผมไม่พูดอะไรเพราะที่จริงผมคิดว่าไปไทยครั้งนี้คงไปไม่กี่วันแล้วจะรีบกลับมาอีกอย่างไปไทยในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องด่วนแต่คิดว่าไม่ค่อยยากอีกอย่างทั้งสามคนที่ทำความร่วมมือกับWangtiamGroupก็ไม่ใช่คนพื้นๆ
Sanksuที่มีหน้ามีตาสุชาที่มีอิธิพลใต้ดินและยังมีตระกูลตูที่มีชื่อเสียงในตะวันออกเฉียงใต้ดูยังไงเรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
อีกอย่างเมื่อจัดการเรื่องนี้แล้วเสร็จถงอันจือก็ต้องให้ผมหยุดพักผ่อนด้วยเหตุนี้ผมเลยไม่ได้บอกไป๋เหว่ย
แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอโกรธแล้วงั้นผมก็ไม่สามารถพูดแบบนี้ได้ผมก็เลยต้องยอมรับผิดอย่างเชื่อฟังและรีบฉวยโอกาสจับมือน้อยๆของเธอไป๋เหว่ยหน้าแดงและจ้อมผมด้วยสายตาแปลกๆ
ผมโล่งใจด่านนี้ถือว่าผ่านแล้วขอแค่ไป๋เหว่ยไม่สนใจเรื่องของเหวินซินเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ได้แล้ว
และโลกใบนี้ก็มักมีอะไรที่ไม่คาดคิดยิ่งคุณคิดถึงเรื่องอะไรเรื่องนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นสูงมากในขณะที่ผมนึกถึงเหวินซินอยู่นั้นจู่ๆก็มีข้อความถูกส่งเข้ามาที่โทรศัพท์ของผมซึ่งมันขึ้นว่าเป็นข้อความของเหวินซิน
ไป๋เหว่ยองก็สังเกตุเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ของผมสว่างขึ้นเธอถามผมด้วยน้ำเสียงของคววามสงสัยว่า"อ้อที่แท้ก็เป็นเหวินซินนี่เองเธอส่งข้อความมาหานายทำไม?"
ผมยิ้มด้วยความอายหลังจากนั้นก็กดเปิดข้อความในโทรศัพท์
"ฟางหยางวันนี้นายจะไปไทยหรอ?ทำไมไม่ชวนฉันด้วยฉันอยากไปเที่ยวไทยมานานแล้ว"
ผมกลืนน้ำลายดูเหมือนวันนี้จะไม่ค่อยราบรื่นไม่เพียงแค่ไป๋เหว่ยแม้แต่เหวินซินที่เป็นคนฉลาดและมีนิสัยดียังพูดบ่นผม"
ผมกระแอมและพูดว่า"ที่จริงพวกเราไม่มีอะไรกันผมและเหวินซินก็เป็นแค่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยกันเท่านั้นเองแต่บังเอิญในปีนี้พวกเราเจอกันที่Shenghaiหลายครั้งและเธอก็ช่วยผมหลายเรื่องก็เท่านั้นเอง"
ไป๋เหว่ยมองบนใส่ผมและพูดว่า"งั้นทำไมนายยังไม่ตอบข้อความเธอกลับไปอีก?"
"ผมกำลังคิดว่าจะตอบเธออย่างไรดีไม่ให้เธอเสียหน้าและก็ให้เธอเข้าใจในความหมายที่ผมจะสื่อ"
เมื่อผมพูดจบเครื่องบินที่บินอยู่นิ่งๆอย่างมั่นคงจู่ๆก็สั่นไม่ยุดราวกับว่าพวกเรากำลังนั่งรถที่กำลังลงเนินด้วยความเร็วสูง
ผมรีบจับมือของไป๋เหว่ยไป๋เหว่ยพูดว่า"เกิดอะไรขึ้น?"
"ผมก็ไม่รู้"
ส่วนสีหน้าของจ้าวซูเหิงก็เปลี่ยน"ซวยแล้วฟางหยางไป๋เหว่ยพวกเราอาจจะเจอกระแสการเปลี่ยนแปลงของอากาศ"
ขณะนั้นเองห้องผู้โดยสารข้างหลังก็เริ่มมีเสียงดังโวยวายและก็เริ่มมีเด็กร้องไห้
ต่อมาก็มีเสียงสาวสวยประกาศว่า"สวัสดีค่ะผู้โดยสารทุกท่านตอนนี้เครื่องบินกำลังเจอกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศทำให้การเดินทางอาาจะมีการสั่นสะเทือนกรุณาคาดเข็มขัดจับที่วางแขนให้แน่นอย่าตื่นตกใจ"
เธอบอกให้พวกเราทำจิตใจให้มั่นคงให้สงบลงแต่ผมกลับรู้สึกถึงความกลัวจากน้ำเสียงที่เธอพูด
HELLOTOOL SDN BHD © 2020 www.readmeapps.com All rights reserved